สาระความรู้ >> ศาลพระภูมิ

ศาลพระภูมิ

ศาลพระภูมิ

ศาลพระภูมิ01ศาลพระภูมิ เป็นที่เทพารักษ์สถิต ผู้คนให้ความสำคัญ สักการะ บูชาตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ และสถานที่ต่าง ๆ ที่เรียกว่า “ศาลพระภูมิ” มีความเชื่อกันว่า “พระภูมิ” หรือ “ภูมิเทวดา” มีหน้าที่รักษา อาณาเขตที่ดิน ที่เจ้าของได้อัญเชิญมาสิงสถิตบนศาลพระภูมิ เพื่อปกป้อง คุ้มครองเจ้าของบ้าน และบริวารให้อยู่เย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรือง
ในทัศนะของศาสนาพุทธ ภูมมัฏฐเทวดา หรือ ภูมิเทวดา หรือ เทวดา ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกันกับมนุษย์ ก็เป็นสัตวโลก ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เหมือนกันกับมนุษย์ ที่เกิดเป็นเทวดา ก็ด้วยผลวิบากแห่งบุญ สวรรค์ชั้นนี้ จะเรียกว่า “จาตุมมหาราชิกา” หรือ “จาตุมมหาราช” มีเทวดาทั้ง 4 เป็นหัวหน้าประจำทิศทั้ง 4 ซึ่งใครก็ได้ที่บำเพ็ญบุญกุศลถึง ก็เกิดเป็นเทพ ทั้ง 4 ได้ ไม่ได้สงวนสิทธิ์หรือเป็นตำแหน่งตายตัว คือ ท้าวธตรฐ (อ่านว่า ทะ-ตะ-รด) จอมคนธรรพ์ (เทวดาที่ชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ) ครองทิศ ตะวันออก ท้าววิรูฬหก จอมกุมภัณฑ์ (ยักษ์) ครองทิศใต้ ท้าววิรูปักษ์ จอมนาค ครองทิศตะวันตก ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสวัณ (ไทยเรียก เวสสุวรรณ) ครองทิศเหนือตามทัศนะของพุทธศาสนา ถ้าจะให้เทวดาพวกนี้รักษา ต้องเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ เป็นคนดี (ทางศาสนา) เช่น พระภิกษุที่มีบริสุทธิ์ กลิ่นศีลจะหอมแตะจมูกเทวดาพวกนี้ แล้วเขาจะมารักษาด้วยความนับถือของเขาเอง ไม่ต้องไปเชิญมา หากเป็นคนชั่ว เทวดาจะไปไกลถึง 100 โยชน์ (เพราะเหม็นกลิ่นความทุศีล หรือไร้ศีล) หรือ ทำบุญอุทิศ ให้เทวดา เทวดารู้ซึ้งในน้ำใจของเรา เขาก็จะมารักษา หรือให้ประโยชน์บางอย่าง แก่เราตามกำลังที่เขาจะทำได้ ไม่ใช่ว่า จะบันดาลอะไรได้หมด อยู่ที่บุญ และศีลของเรา และของเทวดาเหล่านั้นด้วย ถ้าเทียบศักยภาพระหว่างเทวดากับมนุษย์แล้ว มนุษย์จะมีศักยภาพมากกว่าเทวดา ซึ่งพวกเราจะหลงงมงายไปหวังพึงพวกเขา เทวดาเองอยากเกิดเป็นมนุษย์มากกว่าเกิดในที่ไหน ๆ เพราะมนุษย์มีศักยภาพ หรือ ความสามารถในการทำบุญ (และทำบาปด้วย) มากกว่าที่ไหน ๆ
ถ้ามนุษย์มีศีลบริสุทธิ์ เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธสาวก ที่เป็นพระอริยบุคคล เทวดาไม่ว่าระดับใด ยังเคารพ มีเรื่องเ่ล่าว่า อนาถะปิณฑิกะ เศรษฐี ผู้เป็นพระสาวก อริยบุคคลระดับโสดาบัน ชอบทำบุญมาก ทำบุญจนทรัพย์สิน หมด เทวดาที่สถิตอยู่ที่บ้านท่าน กลัวว่าท่านจะหมดเนื้อหมดตัว และกลัวตัวเอง จะไม่มีที่สถิต จึงมาบอกท่านให้เลิกทำบุญ ท่านเศรษฐี เลยขับไล่เทวดานั้นให้หนี จากบ้านของตน (ท่านเป็นเจ้าของบ้าน ไม่ใช่เทวดาเป็นเจ้าของ เทวดา เป็นผู้อาศัย สถิตอยู่) เทวดา ไม่มีที่สิงสถิต จึงไปหาท้าวสักกะ (พระอินทร์) ท้าวสักกะ ช่วยไม่ได้ ก็แนะนำให้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงให้ไปขอขมาโทษท่านเศรษฐี เทวดาจึงได้กลับไปสิงสถิตอยู่ที่บ้านเศรษฐีตามเดิม นี่คือคติทางพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าจะพึ่งเทวดาตลอด มนุษย์นี่แหละมีศักยภาพมากกว่าเทวดา

นอกเหนือจากความเชื่อในเรื่องของศาลพระภูมิ ทิศทางในการตั้งศาล ก็มีส่วนสำคัญ ที่จะต้องตั้งให้ตรงกับลักษณะของพระภูมิ ตามที่เชื่อถือกันมา ถ้าเป็นข้าราชการ หรือผู้มียศศักดิ์ ให้สหันหน้าไปทางทิศอุดร (ทิศเหนือ) ถ้าเป็นเศรษฐี พ่อค้า ให้หันหน้าไปทางทิศทักษิณ (ทิศใต้) ถ้าเป็นศาลชาวสวน ชาวนา ให้หันหน้าไปทางทิศประจิม (ปัจฉิม = ทิศตะวันตก) ถ้าเป็นศาลพระภูมิวัด (ผิดหลักพุทธศาสนา) สาธารณสถาน ให้หันหน้าไปทางทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) ถ้าเป็นพระภูมิโรงบ่าวสาว ให้หันหน้าไปทางทิศอีสาน หรือทิศอาคเนย์
ส่วนมากจะนิยมหันไปทางทิศอีสาน (อีสาณ = ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ) และทิศอาคเนย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) ที่ตั้ง ต้องตั้งทางทิศเหนือของบ้านเสมอ หากจำเป็น จึงเลื่อนมาทางทิศใต้ ระวังอย่าให้เงาบ้านทับศาล หรือเงาศาลทับบ้าน หน้าศาล ห้ามหันหน้าตรงเข้าบ้าน ไม่ควรให้หน้าศาลตรงประตู หน้าต่าง และบันไดบ้าน เพราะอาจจะทำให้บ้านไม่มีความเจริญรุ่งเรือง ไม่อยู่เย็นเป็นสุข
ศาลพระภูมิ กำเนิดมาจากคติวัฒนธรรมประเพณี ของชนเผ่ามองโกล ที่มีความเชื่อถือแน่นแฟ้น ในเรื่องวิญญาณ นับถือภูติผีปีศาจ ผีฟ้า และถือว่า ในทุก ๆ แห่ง ย่อมมีวิญญาณสิงสถิตอยู่ การแต่งงาน ก็จะต้องทำพิธีไหว้ผี หรือแม้แต่การลงเรือ ก็ต้องไหว้ แม่ย่านางเรือ
ความเชื่อเหล่านี้ ได้ถ่ายทอดไปสู่ชนชาติจีน ดังจะเห็นว่า หนังสือแทบทุกเล่มของจีน จะกล่าวถึง อภินิหารของพระภูมิเป็นส่วนใหญ่ ที่มาช่วยดลบันดาล ให้ผ่านอุปสรรคทุกอย่าง

สังคมไทยนับว่า รับเอาวัฒนธรรมอื่น ๆ เข้ามามาก ทั้งพรามหณ์-ฮินดู และอื่่น ๆ
ส่วนทางชาดกในพุทธศาสนา ได้เล่าเกี่ยวกับพระภูมิ ว่า ในสมัยครั้งพระพุทธเจ้าทรงเป็นพระโพธิสัตว์ (คือผู้ที่บำเพ็ญบารมี 10 อย่าง เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เช่น พระมหาชนก พระเวสสันดร ฯลฯ) ได้ทรงบำเพ็ญฌาน ใต้ต้นไทย ปรากฏว่า พระภูมินามว่า “พระเจ้ากรุงพลี” ไม่พอใจ ได้แสดงอภินิหารขับไล่พระโพธิสัตว์ พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยฌาน จึงขอพื้นที่ดิน จากพระเจ้ากรุงพลีเพียง 3 ก้าว เพื่อบำเพ็ญฌานต่อไป
พระเจ้ากรุงพลีเห็นว่า เป็นที่ดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงอนุญาต แต่พระโพธิสัตว์ ทรงมีบุญญาภินิหาร ดังนั้น เมื่อทรงย่างก้าวเพียง 2 ก้าว ก็พ้นเขตพื้นแผ่นดิน ของพระเจ้ากรุงพลี พระเจ้ากรุงพลี จึงไม่มีที่ดินอยู่ ต้องออกไปอยู่นอกป่าหิมพานต์ ไม่สุขสบายเช่นที่อาศัย ของตน จึงกลับมาทูลขอพื้นที่ดินจากพระโพธิสัตว์ พระพุทธองค์ ทรงรู้แจ้งด้วยฌานว่า พระเจ้ากรุงพลี จะทำหน้าที่เป็นพระภูมิที่ดี คอยคุ้มครองมนุษย์ และสัตว์โลกทั่วไปในภายภาคหน้า จึงคืนที่ดินให้กับ พระเจ้ากรุงพลี และทรงขอให้ตั้งอยู่ในความสุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่นอีกต่อไป

จะเห็นว่า คติพุทธ มนุษย์มีศักยภาพมากกว่าเทวดา มนุษย์ที่ดีมีศีล มีบารมี (แบบพุทธ ไม่ใช่แบบไทย = บารมี 10 อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน (ความตั้งใจมั่น ตั้งใจอย่างแน่วแน่ ไม่ใช่อธิษฐานของสิ่งที่ต้องการ แต่เป็นอธิษฐาน คือ ตั้งใจว่า จะทำบุญกุศล เช่น จะเลิก ดื่มเหล้า ฯลฯ เป็นอธิษฐานบารมี) เมตตา และอุเบกขา) เทวดายังกลัวและเคารพยำเกรง ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงแนะนำพระสาวกว่าหากไปอยู่ที่ใดให้แผ่เมตตาขออนุญาตเทวดาก่อนเสมอ เทวดาที่ดีจะรับรู้อนุโมทนาและคอยคุ้มครองรักษา

ที่มาจากเว็บไซด์ http://allknowledges.tripod.com/spirithouse.html

thai_art

รวมศิลป์ ศาลพระภูมิ จำหน่าย : ศาลพระพรหม, ศาลพระภูมิ, ศาลเจ้าที่, ศาลจิ๋ว สำหรับตกแต่งบ้าน, อุปกรณ์ตกแต่งศาล, และน้ำพุ ตุ๊กตาปูน

สนใจติดต่อ : เบอร์โทร 02-156-8329, 089-217-5886, 081-924-0578 หรือ คลิกที่นี่ เพื่อส่งอีเมล์สอบถาม หรือดูแผนที่มาร้าน

thai_art2